Search Tire

Categories of Tires

๏ปฟ
Statistic
 เธงเธฑเธ™เธ™เธตเน‰
370 เธ„เธ™
 เน€เธกเธทเนˆเธญเธงเธฒเธ™
599 เธ„เธ™
 เน€เธ”เธทเธญเธ™เธ™เธตเน‰
11,298 เธ„เธ™
 เน€เธ”เธทเธญเธ™เธ—เธตเนˆเนเธฅเน‰เธง
13,691 เธ„เธ™
 เธ›เธตเธ™เธตเน‰
54,401 เธ„เธ™
 เธ›เธตเธ—เธตเนˆเนเธฅเน‰เธง
188,292 เธ„เธ™
บทความเกี่ยวกับยาง


อาการเหินน้ำของยาง HYDROPLAINING เรื่องที่ควรรู้

อาการเหินน้ำ

              ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า Hydroplane หรืออาการเหินน้ำคืออะไร คือ การบางอย่างที่หมุนไปเหนือ ชั้น (Layer) ของน้ำ หรือสิ่งสกปรกเช่น โคลน เลนที่อยู่บนพื้นผิวถนน ทำให้เกิดการสูญเสียการควบคุม ซึ่งรวมทั้งหมด เช่น การเร่ง การเข้าโค้ง หรือแม้แต่การเบรค  เพราะความฝืดระหว่างล้อรถยนต์กับถนนนั้นไม่มีแล้วนั่นเอง

 

            ++ปัจจัยที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ Hydroplane++


ความเร็วของรถยนต์  ความเร็วของรถยนต์นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะรถยนต์ยิ่งวิ่งมาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่ล้อจะรีดน้ำได้ทันนั้นจะยิ่งน้อยลง ทำให้ชั้นของน้ำนั้นหนามากกว่า และมีโอกาสก่อให้เกิดอาการเหินน้ำได้มากกว่า

น้ำหนักของรถยนต์  รถยนต์ยิ่งน้ำหนักมาก เมื่อเสียการควบคุมแล้ว แรงเฉี่อยจะยิ่งมากกว่า

ดอกยางของรถยนต์  ลักษณะของดอกยาง และ ความลึกของดอกยางนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก จากในรูป จะเห็นว่า ดอกยางข้างต้นมีการรีดน้ำไปด้านข้างของล้อด้วย ความลึกของดอกยางนั้น ทางทฤษฎีแล้ว หากดอกยางเหลือเพียงครึ่งเดียว ความเร็วจะต้องลดลงจากเดิมประมาณ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เทียบกับดอกยางเต็มๆ)

ล้อรถยนต์  หากเป็นล้อรถยนต์ที่มีหน้ากว้าง และยางกว่า(รัศมีมากกว่า) โอกาสเกิด Hydroplane จะยิ่งน้อยกว่า

ลักษณะของพื้นผิวถนน หากเป็นพื้นคอนกรีตแล้ว โอกาสเกิดเหตุการณ์จะยิ่งง่ายกว่า ถนนที่มียางมะตอยราด เพราะยังมีร่องน้ำ ตามรูของพื้นผิวถนน นอกจากนี้ยังมีความชัน และความเอียงของพื้นผิวถนนที่เป็นปัจจัยเล็กน้อยอีกด้วย


           ++เรามาดูวิธีป้องกันกัน++


           อย่าได้ขับรถเร็วเกิน 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากพื้นผิวถนน มีน้ำขัง หรือแม้แต่เปียกเล็กน้อย

           ยางรถยนต์ ต้องมีดอกยางเสมอ (วัดด้วยเหรียญ ) ยิ่งดอกยางยังมีอยู่เยอะ ยิ่งรีดน้ำได้ดีกว่า

           หากรถยนต์ของคุณมีระบบ Traction Control อย่าได้ลืมเปิดใช้งานเวลาถนนเปียก

           หากเลือกรถใช้งานได้ ขณะฝนตก ควรเลือกรถยนต์ที่มีระบบ ABS ทั้ง 4 ล้อไว้ก่อน (รถยนต์บางชนิดจะมีเพียง 2 ล้อหน้า หรือ 2 ล้อหลัง)

           หากเริ่มเกิดอาการสูญเสียการควบคุมจากอาการเหินน้ำแล้ว ควรปฎิบัติดังนี้

           หากรถยนต์อยู่ในทางตรง และมาด้วยความเร็วน้อย จะสูญเสียการควบคุมเพียงเล็กน้อย นักขับจะต้องพยายามควมคุมทั้งความเร็ว และทิศทางให้เหมือนปุยนุ่น อย่าได้พยายามควบคุมทุกอย่างอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเบรค หรือหักล้อรถยนต์เต็มที่ อย่าได้ทำแบบนั้นเด็ดขาด

            หากรถยนต์อยู่บนท้องถนน และเกิดอาการจากการเหินน้ำ ที่เกิดจากการเร่งความเร็วอย่างฉับพลัน จะเกิดอาการ 3 อย่าง คือ 1 ต้นเหตุเกิดที่ล้อหน้า  คำแนะนำสำหรับล้อหน้าคือ โอกาสเกิดรถหมุนนั้นจะมาก ต้องปล่อยเลยไป โดยมีโอกาสที่รถยนต์จะตกข้างทาง หรือพาดกับต้นไม้ หรือเสาไฟฟ้า เพราะเราเตือนคุณแล้วว่า อย่าได้เร่งความเร็วฉับพลัน 2.เหตุเกิดจากล้อหลัง การรักษาการควบคุมจะง่ายกว่า เพราะอาการจะเกิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 3.เกิดเหตุทั้ง 4 ล้อ รถยนต์จะไม่หมุน แต่จะมุ่งตรงไปด้านหน้า (แม้ว่าจะหักล้อหมุน รถก็ตรงไปด้านหน้าอยู่ดี) ดังนั้นคุณยังมีโอกาสควบคุมเล็กน้อย พยายามลดความเร็ว โดยไม่เหยียบคันเร่งเพิ่ม รักษาทิศทางของรถยนต์ไว้

            ประเด็น สำคัญ คือ อย่าได้เหยียบเบรค เพราะจากการทดสอบหลายครั้ง ผู้ขับขี่ส่วนมากจะเหยียบเบรค (ในการทดสอบดูจากไฟท้ายรถยนต์) เพราะการเหยียบเบรคแบบกระทันหัน จะยิ่งทำให้เกิดอาการเหินน้ำมากขึ้น เพราะยางรถยนต์หยุดรีดน้ำ ทำให้โอกาสเกิดสูญเสียการควบคุมรถยนต์มากขึ้นไปอีก

แต่ประเด็นที่ สำคัญยิ่งกว่า คือ พยายามหลีกเลี่ยงโอกาสเกิดอาการเหินน้ำให้มากที่สุด เพราะแม้แต่นักขับอาชีพ ก็ยังยากที่จะควบคุมรถยนต์ได้ โดยเฉพาะการขับรถยนต์ขณะฝนตกนั้น ควรขับรถยนต์ด้วยความเร็วที่ไม่เกิน 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอย่าเร่งหรือลดความเร็วแบบฉับพลัน


   เหินน้ำ2

        ++อาการที่ผู้ขับรู้สึก++

       ถ้าเกิดอาการเหินน้ำมาก ก็จะรู้สึกว่ารถลื่น พวงมาลัยไม่สามารถควบคุมทิศทางได้เต็มที่ หรือแย่ถึงขั้นลื่นไถล รวมถึงรถหมุนคว้างเลยก็มี ในความเป็นจริง ส่วนใหญ่เป็นอาการเหินน้ำ คือ มีชั้นของน้ำอยู่เหนือพื้น หน้าสัมผัสของยางกดลงบนพื้นได้น้อยกว่าสภาพการขับรถในขณะนั้น หน้ายางบางส่วนหรือหลายส่วนหมุนอยู่บนชั้นน้ำ ไม่ใช่บนพื้น ไม่มียางรถรุ่นใดยี่ห้อใดรีดน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ผลิตยางรถล้วนพยายามลดอาการเหินน้ำของยางให้น้อยลงในยางรุ่นใหม่ทุกรุ่นที่ผลิตออกมา แต่ก็ไม่เคยทำให้ปลอดอาการเหินน้ำเลย ไม่ว่าจะเป็นยางรุ่นใหม่หรือโฆษณาว่ารีดน้ำดีเพียงไร ก็อย่าฝันว่าจะปลอดการเหินน้ำ ถ้าพื้นเปียกและรถแล่นอยู่ ยังไงยางก็จะรีดน้ำได้ไม่หมดสนิท ไม่ลื่นมากก็น้อย ไม่เหินน้ำมากก็น้อย ยิ่งผิวน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ทำให้ยางหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกดเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสก็จะแย่ลงกว่าน้ำผิวบางและรถแล่นช้า ทำให้ยางหมุนผ่านไปช้าๆ

       ++สรุปง่ายๆ ว่า ยิ่งน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดอาการเหินน้ำมากขึ้น++

       ผู้ขับรถจึงจำเป็นต้องประเมินสภาพของน้ำบนพื้นผิว กับประสิทธิภาพการรีดน้ำของยางรุ่นที่ใช้อยู่ว่า สภาพพื้นเปียกในขณะนั้นควรใช้ความเร็วเท่าไรจึงจะปลอดภัย สภาพพื้นเปียกที่น่ากลัวที่สุดคือ การเกิดอาการเหินน้ำในล้อเดียว หรือเหินน้ำไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เจอแอ่งน้ำตื้นๆ โดยไม่คาดคิด และไม่ได้เจอทุกล้อ แต่เจอแค่ล้อข้างเดียว เช่น เส้นทางโล่งตรง ผู้ขับจึงชะล่าใจใช้ความเร็วสูง ขับไปเรื่อยๆ ก็ไม่น่ากลัวอะไร เมื่อควบคุมได้ดีก็ชะล่าใจคงความเร็วนั้นไว้หรืออาจเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย

       หากบังเอิญเจอแอ่งน้ำตื้นๆ ในบางล้อ ก็จะเกิดการลื่นไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เช่น ล้อหน้าซ้ายลื่น ล้อหน้าขวาเกาะกว่า รถก็ปัดเป๋ พวงมาลัยดึงหรืออาจถึงขั้นรถหมุนเลยก็เป็นได้ อาการลื่นของยางบนถนนเปียก ต้องทำความเข้าใจกับอาการเหินน้ำใช้ความเร็วให้เหมาะกับสภาพถนน อย่าชะล่าใจ และระวังจะเจอแอ่งน้ำตื้นหรือผิวถนนมีน้ำหนาไม่เท่ากันโดยบังเอิญ ก็จะเกิดอาการดึงจะรถเสียการทรงตัวได้


อาการเหินน้ำ,ยางรถยนต์,ดอกยาง
<<บทความก่อนหน้า บทความถัดไป>>
Facebook Twitter Google Digg Reddit LinkedIn Pinterest StumbleUpon Email